ประวัติและการขึ้นสู่อำนาจของมุสโสลินี
เบนนิโต
มุสโสลินี ( Benito
Mussolini ) เกิดเมื่อ ค.ศ. 1833 ณ ตำบลโรมาญญา ( Romagna ) ในอิตาลีตอนกลาง
บิดาของเขาเป็นนักสังคมนิยมหัวรุนแรงมีอาชีพเป็นช่างถลุงเหล็ก มาดาเป็นครูใหญ่ ตัวมุสโสลินีหัวสังคมนิยมมาตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่ออายุได้
18 ปี มุสโสลินีเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อหนีการถูกเกณฑ์ทหาร ได้เข้ายุยงกรรมกรอิตาเลียนที่อาศัยในสวิตเซอร์แลนด์ก่อความวุ่นวายในช่วง
ค.ศ. 1902 – 1904 และในออสเตรีย ค.ศ.
1909 ทำให้ถูกตำรวจขับไล่ออกนอกประเทศ
หลังจากนั้นมุสโสลินีจึงกลับอิตาลีถูกขังคุก
เนื่องจากคัดค้านสงครามระหว่างอิตาลีกับตุรกี เรื่องดินแดนทริโปลีใน ค.ศ. 1911 ค.ศ. 1912 มุสโสลินีเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แนวสังคมนิยมที่มีชื่อเสียงของอิตาลี
ชื่ออวันตี
( The Aventi )
( The Aventi )
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นใหม่ ๆ
มุสโสลีนีคัดค้านการที่อิตาลีจะเข้าร่วมสงคราม
เพราะเขาต้องการให้อิตาลีวางตัวเป็นกลาง
เมื่อพรรคสังคมนิยมไม่เห็นด้วยกับเขา
เขาจึงลาออกจากการเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อวันตี
หลังจากนี้เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1914 เขาตั้งหนังสือพิมพ์เอง
ชื่อ The People of Milan ( ll Popolo d’ Italia ) ในมิลาน ตอนนี้เองที่ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนจากนโยบายยึดความเป็นกลาง เป็นการสนับสนุนให้อิตลีเข้าร่วมสงครามเข้าข้างฝ่านสัมพันธมิตร
เพราะเข้าเห็นว่าเป็นทางเดียวที่อิตาลีจะได้ดินแดนต่าง ๆ ตามที่ต้องการ
ทำให้เขาถูกพรรคสังคมนิยมขับไล่ออกจากพรรค
ค.ศ.
1915 เมื่ออิตาลีเข้าร่วมสงครามโดยอยู่ฝ่ายเดียวกับสัมพันธมิตรมุสโสลินีอาสาสมัครไปรบจนได้รับบาดเจ็บอย่างหนักใน
ค.ศ. 1917 ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่หลายเดือน
เมื่อออกจากโรงพยาบาลเขาก็เข้าเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อีก
เริ่มเผยแพร่แนวความคิดแบบปฏิวัติและชาตินิยมอย่างแรงกล้า
เมื่อสงครามสงบท่ามกลางภาวะบ้านเมืองที่ประสบปัญหาหลายด้าน
ค.ศ. 1919 มุสโสลินีได้ก่อตั้งพรรค Fasci di
combattimento ต่อมาชื่อว่าพรรคฟาสซิสต์ ( Fascism ) เป็นคณะเชิ้ตดำมีรูปมัดหวายกับขวานเป็นเครื่องหมายประจำคณะ แสดงถึงความสามัคคีและความเข็มแข็ง
ดังนั้นความหมายของฟาสซิสต์ คือ
สามัคคีคือพลัง
ตัวมุสโสลินีเป็นหัวหน้ามีวัตถุประสงค์ต้องการสถาปนาความรุ่งเรืองของประเทศ
และช่วยประเทศชาติให้รอดพ้นจากภัยของลัทธิคอมมิวนิสต์
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาด้านการเมือง
เศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรง
การเมืองแตกแยก
ทางด้านเศรษฐกิจต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ
คนว่างงานสูงเนื่องจากเจ้าของกิจการไม่มีเงินทุนหมุนเวียน การเกษตรกรรมไม่ได้ผล
เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมชีวิตของประชาชนขาดความมั่งคง ระยะเวลาระหว่าง ค.ศ.
1919 – 1922 ต้องเปลี่ยนรัฐบาลถึง 5 ชุด
ก่อนที่มุสโสลินีจะเข้ามาบริหาร
รัฐบาลซึ่งมีนายลุยจิ แฟกตา (
Luigi Facta ) เป็นนายกรัฐมนตรีไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ ได้
กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ ต่อต้านรัฐบาลก่อความไม่สงบขึ้นโดยใช้วิธีการที่รุนแรง
สภาวะเช่นนี้ทำให้ประชาชนรู้สึกเบื่อหน่ายต่อสภาพวุ่นวายของบ้านเมือง
ประชาชนเห็นความจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่เข้มแข็งมาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
และพร้อมจะให้ความสนับสนุนพรรคการเมืองที่สามารถมาบริหารประเทศ ในช่วงจังหวะนี้เองที่พรรคฟาสซิสต์มีนโยบายต่อต้านสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์รวมไปถึงขบวนการฝ่ายซ้ายทั้งหมด
แต่พยายามเป็นไมตรีกับกษัตริย์และสถาบันศาสนา พรรคใหม่นี้จึงเป็นทางเลือกที่เป็นความหวังให้กับประชาชนเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคฟาสซิสต์ ของมุสโสลินีได้รับความนิยมจากประชาชน ทำให้มุสโสลินีเตรียมนำทัพเข้ากรุงโรม เพื่อยึดอำนาจการปกครอง นายกรัฐมนตรีลุยจิแฟคตา ได้เสนอให้พระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 3
ประกาศใช้กฎอัยการศึก
แต่พระองค์ปฏิเสธที่จะลงพระปรมาภิไธย
วันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1922 พระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 3 ได้ทรงโทรเลขเรียกมุสโสลินีจากมิลานให้เดินทางสู่กรุงโรมเพื่อจัดตั้งรัฐบาล มุสโสลินีเดินทางมาถึงในวันรุ่งขั้นคือวันที่ 30
ตุลาคม จัดตั้งรัฐบาลผสม
คณะรัฐมนตรีมีรัฐมนตรีทั้งหมด 14 คน เป็นรัฐมนตรีสังกัดพรรคฟาสซิสต์เพียง 4 คน มุสโสลินีได้เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐสภาออกเสียงให้รัฐบาลใหม่มีอำนาจเต็ม 1
ปี เพื่อรักษาความสงบ
เผด็จการฟาสซิสต์
( The Fascist
Dictatorship )
เนื่องจากมุสโสลินีไม่เห็นด้วยกับการปกครองแบบประชาธิปไตย เขาเห็นว่าระบบนี้มีแต่การโต้เถียง ซึ่งนำไปสู่ความแตกแยก เป็นการสิ้นเปลืองทั้งเวลาและทรัพย์สินผลสุดท้ายไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้
เมื่อได้อำนาจมุสโสลินีได้นำความคิดแบบเผด็จการมาใช้เริ่มจากการใช้โอกาสที่ได้อำนาจเต็ม 1 ปี
เพื่อจัดการบ้านเมืองให้กลับสู่ความเรียบร้อยนี้ค่อย ๆ
สถาปนาอำนาจการปกครองในรูปแบบเผด็จการโดยดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป
โดยใช้อำนาจแต่งตั้งคนของตนเข้าไปนั่งในสภา
เพื่อเป็นเสียงสนับสนุนกับมุสโสลินีซึ่งเป็นวิธีการที่มุสโสลินีจะควบคุมสภาได้ มุสโสลินีจะเป็นผู้เรียกประชุมเอง กำหนดระเบียนวาระการประชุม ยิ่งกว่านั้นมุสโสลินีเป็นผู้แต่งตั้งสมาชิกสภาสูงมีผลให้รัฐสภาให้อำนาจแก่มุสโสลินีในการออกกฎหมาย แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและปลดออก
มุสโสลินียังรับผิดชอบต่อกษัตริย์พระองค์เดียว
ยังคุมอำนาจทางศาลด้วย
ทำให้เขาสามารถเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งใหม่
เพื่อปูทางให้พรรคฟาสซิตส์ได้เสียงส่วนมากในสภาผู้แทน ขั้นต่อมาคือทำลายพรรคการเมืองอื่น ๆ
ด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ
การลักพาตัวหรือฆาตกรรม เช่น ( Giacomo
Matteotti ) ออกหนังสือชื่อ The Fascist Expored โจมตีรัฐบาล
การคอร์ปชั่นของคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1942 นายมัตเตโอติ ถูกลักตัวไปฆ่าและมีผู้พบศพของเขาในเวลาต่อมา ในป่าแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นมุสโสลินีถือโอกาสเข้ามาเป็นผู้รักษากฎหมาย และความสงบเรียนร้อยของประเทศด้วยตนเอง ปรากฏว่าการหาตัวคนร้ายล้าช้ามากจนกระทั่งเดือน มีนาคม ค.ศ. 1926 ไม่อาจจับตัวคนร้ายได้
การคอร์ปชั่นของคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1942 นายมัตเตโอติ ถูกลักตัวไปฆ่าและมีผู้พบศพของเขาในเวลาต่อมา ในป่าแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นมุสโสลินีถือโอกาสเข้ามาเป็นผู้รักษากฎหมาย และความสงบเรียนร้อยของประเทศด้วยตนเอง ปรากฏว่าการหาตัวคนร้ายล้าช้ามากจนกระทั่งเดือน มีนาคม ค.ศ. 1926 ไม่อาจจับตัวคนร้ายได้
พวกตัวแทนฝ่ายค้านไม่พอใจ
ถอนตัวออกจากสภาและประกาศว่าจะไม่กลับมาจนกว่ารัฐบาลจะหาตัวฆาตกรนายมัตเตโอดิได้
และรัฐสภาต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ มุสโสลินีกลับดำเนินนโยบายเข้าควบคุมหนังสือพิมพ์อย่างเข้มงวด ห้ามการชุมชุม
และใน ค.ศ. 1926 เขาประกาศให้ที่นั่งของตัวแทนฝ่ายค้านที่ไม่กลับมาเป็นโมฆะ มุสโสลินีดำเนินการแข็งกร้าว รัฐบาลตั้งกองตำรวจลับ OVRA ทั้งในและนอกเครื่องแบบคอยจับกุมผู้ที่มีความเห็นขัดแย้งกับอุดมการณ์ของผู้นำปราบปรามผู้ที่คัดค้านรัฐบาล ผู้ที่ต่อต้านหรือคัดค้านรัฐบาลจะถูกจับและเนรเทศ ในปีเดียวกันออกกฎหมายยกเลิกพรรคการเมืองต่าง
ๆ ทั้งหมดรวมไปถึงสมาคมลับต่าง ๆ
ถูกยกเลิกหมด
มีการตั้งศาลพิเศษขั้นพิจารณาลงโทษทางการเมือง ทำให้เหลือพรรคฟาสซิสต์เพียงพรรคเดียวที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้นระบบการเลือกตั้งของอิตาลีจึงเปลี่ยนไปเนื่องจากมีเพียงพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ผู้ออกเสียงจึงลงคะแนนเพียง รับ หรือ
ไม่รับ เท่านั้น รัฐบาลมุสโสลินีนั้น คณะทหารมีอำนาจสูงสุด ตัวมุสโสลินีจะดำรงตำแหน่งผู้นำของพรรค (
Duce ) และตำแหน่งผู้นำของรัฐ (Chief Of state)
มีการจัดตั้งกองทัพ ( Militia ) ประกอบด้วยทหาร 200,000 คน ที่จงรักภัคดีต่อมุสโสลินีโดยตรง
ลักษณะของลัทธิฟาสซิสต์
1.เป็นการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (
Totalitarianism ) รัฐมีอำนาจสูงสุดรัฐเท่านั้นที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ควบคุมทุกชีวิตเพื่อก่อตั้งรัฐเบ็ดเสร็จ รัฐมีหน้าที่วินิจฉัยว่าสิ่งใดผิด
สิ่งใดถูก คำว่า “ถูก”
ดูที่ผลประโยชน์ต่อรัฐเป็นสิ่งสำคัญ
การจะเป็นรัฐเบ็ดเสร็จได้ต้องให้อำนาจอย่างสูงสุดกับผู้นำ ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามและเชื่อฟังผู้นำทุกอย่างโดยไม่มีข้อโต้แย้งประชาชนจะผูกพันกับผู้นำอย่างแน่นแฟ้น
เพื่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังคำขวัญ “ จงเชื่อ จงปฏิบัติตาม จงต่อสู้ ”
2.มีลักษณะชาตินิยมจัด (Ultra-nationalism) โดยยกย่องความยิ่งใหญ่ของประเทศสนับสนุนกการแสวงหาจักรวรรดินิยมในการสร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ เน้นถึงอำนาจทหารนิยมเป็นเครื่องแสดงออกถึงพละกำลัง โดยอำนาจทหารที่เข้มแข็งจะเป็นฐานในการทำสงครามเพื่อบรรจุถึงจุดหมายสำคัญคือการได้ปกครองโลก เท่ากับเป็นการตอกย้ำกฎเหล็กแห่งธรรมชาติว่าผู้เข้มแข็งอยู่เหนือผู้อ่อนแอ ชาติที่เข็มแข็งจะได้ครองโลก
เพื่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังคำขวัญ “ จงเชื่อ จงปฏิบัติตาม จงต่อสู้ ”
2.มีลักษณะชาตินิยมจัด (Ultra-nationalism) โดยยกย่องความยิ่งใหญ่ของประเทศสนับสนุนกการแสวงหาจักรวรรดินิยมในการสร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ เน้นถึงอำนาจทหารนิยมเป็นเครื่องแสดงออกถึงพละกำลัง โดยอำนาจทหารที่เข้มแข็งจะเป็นฐานในการทำสงครามเพื่อบรรจุถึงจุดหมายสำคัญคือการได้ปกครองโลก เท่ากับเป็นการตอกย้ำกฎเหล็กแห่งธรรมชาติว่าผู้เข้มแข็งอยู่เหนือผู้อ่อนแอ ชาติที่เข็มแข็งจะได้ครองโลก
3.ต่อต้านประชาธิปไตยฟาสซิสต์ ถือว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เน้นในเสรีภาพส่วนบุคคล
และระบบที่มีพรรคการเมืองหลายพรรคเป็นการปกครองที่อ่อนแอไร้ประสิทธิภาพไม่สามารถทำให้ประเทศยิ่งใหญ่ได้ ในความเป็นจริงแล้วในทัศนะของฟาสซิสต์บุคคลควรจะต้องเสียสละเสรีภาพส่วนบุคคลเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ
นอกจากต่อต้านประชาธิปไตยฟาแล้วฟาสซิสต์ยังต่อต้านสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์
เพราะเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมก็คือเป้าหมายของพวกคอมมิวนิสต์นั้นเอง ฟาสซิสต์ประณามหลักการของมาร์กซ์ที่ต่อต้านชาตินิยม
ด้านการศึกษา
แก้ปัญหาคนไม่รู้หนังสือให้เหลือน้อยที่สุด ออกกฎหมายบังคับให้เด็กเข้าโรงเรียนเปิดโรงเรียนมากขึ้นรองรับการศึกษาภาคบังคับ อบรมครู
รัฐบาลได้สอดแทรกการโฆษณาชวนเชื่อในลัทธิฟาสซิสต์เข้าไปในหนังสือเรียนทุกระดับ จนถึงระดับมหาวิทยาลัย
ครูอาจารย์ต้องสอนให้เด็กเลื่อมใสในลัทธิฟาสซิสต์และชาตินิยม โดยเน้นย้ำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของชาติอิตาลีตั้งแต่ในยุคโบราณ
ปลุกใจให้คนรักชาติเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ในอนาคต
ด้านการทหาร
รัฐบาลเพิ่มกำลังกองทัพบกเรือและอากาศ
เพิ่มอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นการเตรียมพร้อมที่จะทำสงคราม และจัดให้มีการแสดงพลังของทหารและฝึกการใช้อาวุธทันสมัยอยู่เสมอเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของกองทัพ สร้างความมั่นใจให้กับทหารเพื่อเป็นรากฐานในการที่จะดำเนินนโยบายขยายอาณานิคมต่อไป
นโยบายต่างประเทศ
มุสโสลินีมีนโยบายแผ่อิทธิพลในท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อแสดงให้ชาวโลกเห็นว่าตัวเข้าเป็นทายาทของซีซาร์
ต้องการให้อิตาลีเป็นเจ้าแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แสวงหาอาณานิคมในแอฟริกา
ขยายอำนาจไปสู่บริเวณทะเลอาเดรียติก
ขยายอำนาจไปสู่บริเวณทะเลอาเดรียติก
การรุกทางทหาร
ในไม่ช่า
มุสโสลินีได้เปลี่ยนโยบายต่างประเทศจากการต่อต้านจักรวรรดินิยมแบบสันตินิยม ที่นำเขาขึ้นมาสู่ตำแหน่งอำนาจ มาสู่รูปการของชาตินิยมที่ก้าวร้าวสุดขั้ว
ตัวอย่างเบื่องต้นของนโยบายใหม่นี้ก็คือการระดมยิงกอร์ฟู (Corfu: เกาะของกรีซแห่งหนึ่ง ในทะเลไอโอเนียน)
ในปี ค.ศ. 1923 ไม่นานหลังจากนั้น
เขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างระบบการปกครองหุ่นเชิดในแอลเบเนีย
และสร้างเสริมอำนาจของอิตาลีให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอย่างไร้ความปรานีในลีเบียซึ่งเป็นอาณานิคมแบบหลวม
ๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1912
ความฝันของเขาก็คือการให้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็น “มาเร นอสตรุม-(ทะเลของเรา)” และสร้างฐานทัพเรือขนาดใหญ่บนเกาะเลรอสของกรีซ
เพื่อสร้างกำลังในการยึดทางยุทธวิธีเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ปี ค.ศ. 1935 ในที่ประชุมสเตรสา เขาช่วยสร้างแนวต่อต้านฮิทเลอร์เพื่อปกป้องอิสรภาพของออสเตรีย
แต่สงครามที่ประสบชัยชนะของเขาเหนือแอเบอลิเนีย(เอธิโอเปีย) ในปีค.ศ. 1935
-1936 ถูกสันนิบาตชาติคัดค้าน
และจากการณ์นี้ทำให้ฮิทเลอร์หันมาสร้างพันธมิตรกับอิตาลีฟาสซิสต์
การรุกรานเอธิโอเปียบรรลุผลอย่างรวดเร็ว
(การประกาศสถาปนาจักรวรรดิมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1936 )
และพัวพันกับทารุณกรรมหลายครั้งหลายครา
อาทิ การใช้อาวุธเคมี-มัสเทิร์ด แก๊สหรือแก๊สพิษร้ายแรงและฟาสจีน
และการสังหารประชาชนท้องถิ่นจำนวนมากอย่างไม่จำแนกแยกแยะเพียงเพื่อป้องกันการต่อต้าน
กองทัพจัดวางคลังสรรพาวุธอันประกอบด้วยลูกระเบิดมือและลูกระเบิดที่บรรจุมัสเทิร์ด แก๊สซึ่งถูกทิ้งลงจากเครื่องบิน สารนี้ยังถูกฉีดโดยตรงจากข้างบนเช่นเดียวกับ
“ยาฆ่าแมลง” ใส่นักรบและหมู่บ้านของศัตรู
มุสโสลินีเองที่มีอำนาจเด็ดขาดในการสั่งให้ใช้อาวุธเช่นนี้
มุสโสลินีกับแม่ทัพนายกกองต่างพยายามปกปิดยุทธการ การสงครามเคมีเป็นความลับสุดยอด
แต่อาชญากรรมของกองทัพฟาสซิสต์ถูกเปิดเผยต่อชาวโลกจาการกล่าวโทษของกาชาดสากล
และผู้สังเกตการณ์ชาวต่างประเทศจำนวนมาก
ปฏิกิริยาของอิตาลีต่อการเปิดเผยเหล่านี้สำแดงออกมาในรูปการของการระดมยิง
“ผิดพลาด ”
เข้าใส่เต็นท์ของกาชาดซึ่งตั้งในพื้นที่ค่ายทหารฝ่ายต่อต้านของเอธิโอเปีย
คำสั่งของมุสโสลินีในเรื่องประชากรเอธิโอเปียนั้นปรากฏชัดเจนอย่างยิ่ง : “โรม, 5มิถุนายน 1936 A.S.E. กราซีอานี. กบฏทุกคนที่ถูกจับเป็นเชลยต้องถูกฆ่า ” “โรม
8กรกฎาคม 1936 A.S.E. กราซีอานี ข้าพเจ้าให้อำนาจอีกครั้งแก่
วี.อี. ในการเริ่มและดำเนินการเมืองอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการคุกคามและการจำกัดกบฏและประชากรผู้สมรู้ร่วมคิด หากปราศจากการเคลื่อนที่เร็ว ก็ไม่อาจรักษาการติดเชื้อได้ทันเวลา รอการยืนยัน มุสโสลินี ”
ส่วนที่เด่นชัดของการกดขี่ที่อิตาลีดำเนินการ
นอกเหนือจากการใช้ระเบิดที่บรรจุมัสเทิร์ด
แก๊สหรือแก๊สพิษร้ายแรงแล้ว ยังมีการตั้งค่ายแรงงานบังคับกับตั้งกะแลงแกงหรือที่แขวนคอประหารสาธารณะ ฆ่าตัวประกัน และหั่นศพศัทรู
กราซีอานีสั่งให้กำจัดนักรบจรยุทธที่ถูกจับ
โดยการโยนลงจากเครื่องบินขณะที่บินอยู่กลางอากาศ
ทหารอิตาเลียนหลายคนได้ถ่ายภาพตนเองคู่กับซากศพที่แขวนจากตะแลงแกงหรือแขวนอยู่รอบหีบที่เต็มไปด้วยศีรษะที่ถูกตัด เหตุการณ์หนึ่งในการยึดครองเอธิโอเปียของอิตาลีก็คือการสังหารหมู่แอสดิส อาบาบา ( เมืองหลวงเอธิโอเปีย )
เดือนกุมภาพันธ์ 1937
ซึ่งเกิดขึ้นหลังความพยายามลอบสังหารกราซีอานี
ในระหว่างพิธีอย่างเป็นทางการมีระเบิดลูกหนึ่งระเบิดขึ้นติดกับนายพลคนนี้ การโต้ตอบอุบัติขึ้นโดยฉับพลันและอย่างโหดร้ายทารุณ ชาวเอธิโอเปียที่อยู่ในงานจำนวนสามสิบคนหรือกว่านั้นถูกแทงทะลุด้วยดาบปลายปืนโดยทันที
หลังจากพลพรรคเชิ๊ตดำแห่งกองกำลังอาสาสมัครฟาสซิสต์ทะลักออกมาเต็มท้องถนนของเมืองแอดดิส อาบาบา
ที่ที่พวกเขาทรมานและเข่นฆ่าเรียบทั้งผู้ชาย ผู้หญิง
กระทั่งเด็กซึ่งพวกเขาพบเห็นในเส้นทางผ่าน
นอกจากนั้นยังระดมยิงอาคารบ้านเรือนเพื่อป้องกันมิให้ผู้อยู่อาศัยหลบหนีแล้วกวาดต้อนมารวมกันเพื่อสังหารหมู่กลุ่มละ
50- 100 คน
อักษะแห่งเลือดกับเหล็กกล้า
คำว่า
“มหาอำนาจอักษะ” (Axis Power) นั้นบัญญัติโดยมุสโสลินี เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1936
เมื่อขากล่าวถึงอักษะโรม-เบอร์ลิน
เพื่อกล่าวอ้างถึงสนธิสัญญามิตรภาพที่ลงนามระหว่างอิตาลีกับเยอรมนี
เมื่อ 25 ตุลาคม 1936 “อักษะ” ของเขากับเยอรมนีได้รับการตอกย้ำยืนยัน เมื่อเขาทำสนธิสัญญาอีกฉบับหนึ่งกับเยอรมนีนาซีในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1939 มุสโสลินีได้สาธยายสัมพันธภาพกับเยอรมนีฉบับนี้ว่าเป็น “กติกาสัญญาเหล็ก” (Pact of Steel) เช่นกับที่เขากล่าวอ้างสัญญาฉบับก่อนว่าเป็น “กติกาสัญญาเลือด” (Pact of Blood)
เมื่อ 25 ตุลาคม 1936 “อักษะ” ของเขากับเยอรมนีได้รับการตอกย้ำยืนยัน เมื่อเขาทำสนธิสัญญาอีกฉบับหนึ่งกับเยอรมนีนาซีในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1939 มุสโสลินีได้สาธยายสัมพันธภาพกับเยอรมนีฉบับนี้ว่าเป็น “กติกาสัญญาเหล็ก” (Pact of Steel) เช่นกับที่เขากล่าวอ้างสัญญาฉบับก่อนว่าเป็น “กติกาสัญญาเลือด” (Pact of Blood)
เป็นที่ชัดแจ้งว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหรือคู่กติสัญญาชั้นรองอย่างมุสโสลินีย่อมเดินตามนาซี ทั้งยังต้องยอมรับนโยบายทางเชื้อชาติ ซึ่งนำไปสู่การเบียดบีฑาชาวยิวหรือจูว์ และการสร้างการแยกผิวในจักรวรรดิอิตาลี ก่อนหน้านี้
ชาวยิวไม่ถูกรัฐบาลมุสโสลินีเบียดบีฑาเป็นการเฉพาะทั้งยังได้รับตำแหน่งสมาชิกระดับสูงของพรรคฟาสซิสต์อีกด้วย ทั้งที่มีการเบียดบีฑาก็ตาม ทว่ารัฐบาลของมุสโสลินีเองก็ยังปกป้องชาวยิวอย่างแข็งขันควบคู่ไปด้วย
สมาชิกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์ของชาวสโลวีเนียน วางแผนสังหารมุสโสลินีที่เมืองโคบาริดในปี 1938 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ห้วงนี้มีคำพูดที่อุโฆษของมุสโสลินีที่ถูกนำมาอ้างอยู่ชุดหนึ่ง ก็คือ
“หากข้าพเจ้าบุก จงตามข้าพเจ้าไป :หากข้าพเจ้าถอยจงฆ่าข้าพเจ้าเสีย ;
หากข้าพเจ้าถอย จงฆ่าข้าพเจ้าเสีย ;
หากข้าพเจ้าตายจงแก้แค้นให้ข้าพเจ้าด้วย ”
จริงๆแล้ว มุสโสลินีเองก็มิได้เห็นดีเห็นงามไปตามนโยบายของฮิตเลอร์ไปเสียทั้งหมด และใน
เดือนเมษายน ค.ศ. 1938 มุสโสลีนีได้เสนอแนะเป็นการส่วนตัวว่า วาติกนควรพิจารณาตัดอาดอล์ฟ ฮิทเลอร์ให้
ขาดจากศาสนาโดยเร่งด่วน จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังมิปรากฏชัดว่าคริสตจักรโรมันแคเธอลิคได้มีการพิจารณาตัดขาดจากศาสนาในกรณีของอิทเลอร์นั้น เป็นการตัดสินที่มีเหตุผลเพียงใดหรือไม่
เดือนเมษายน ค.ศ. 1938 มุสโสลีนีได้เสนอแนะเป็นการส่วนตัวว่า วาติกนควรพิจารณาตัดอาดอล์ฟ ฮิทเลอร์ให้
ขาดจากศาสนาโดยเร่งด่วน จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังมิปรากฏชัดว่าคริสตจักรโรมันแคเธอลิคได้มีการพิจารณาตัดขาดจากศาสนาในกรณีของอิทเลอร์นั้น เป็นการตัดสินที่มีเหตุผลเพียงใดหรือไม่
สงครามโลกครั้งที่ 2
ขณะที่สงครามโลกครั้งที่
2 (World
War II : การสู้รบที่เกิดจากความขัดแย้งทั่งโลกระหว่างมหาอำนาจพันธมิตรกับมหาอำนาจอักษะ ตั้งแต่ปี 1939 จนถึงปี1945
สงครามครั้งนั้นยุติลงโดยชัยชนะเป็นของฝ่ายพันธมิตร) ใกล้อุบัติ
มุสโสลินีประกาศเจตนาอันชัดแจ้งของเขาในการผนวกดินแดนของมอลตา,
กอร์สีกา และตูนิส ขณะเดียวกันเขาก็พูดถึงการสร้าง
“จักรวรรดิโรมันใหม่” หรือ “จักรวรรดิอิตาลี”
ที่จะแผ่อาณาเขตด้านตะวันออกไปถึงปาเลสไตน์และด้านใต้ไปทั่วลิเบีย อียิปต์
และเคนยา เมื่อเดือนเมษายน 1939
หลังสงครามอุบัติขั้นไม่นาน
เขาผนวกเอาดินแดนแอลเบเนียมาเป็นของอิตาลี
มุสโสลินีประกาศถึงการคงสถานะไม่เป็นประเทศคู่สงครามกับประเทศใดในความขัดแย้งที่ใหญ่หลวงขึ้นทุกขณะ อยู่จนกรทั่งเขาแน่ใจว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ
10 มิถุนายน ค.ศ. 1940 มุสโสลินีประกาศสงครามกบอังกฤษและฝรั่งเศส 28 ตุลาคม ค.ศ. 1940 มุสโสลินีโจมตีกรีซ แต่หลังจากประสบชัยชนะในรยะแรกเริ่มได้ไม่นาน
กองทัพอิตาเลียนก็ถูกการตีโต้อย่างไม่ระย่อของทหารกรีก ถูกบีบให้ถอยร่นจนต้องสูญเสียพี้นที่ครอบครองในแอลเบเนียถึงหนึ่งในสี่
จนกระทั่งฮิทเลอร์ถูกบังคับให้ต้องกระโดดเข้าช่วยเขาโดยการโจมตีกรีซ เดือนมิถุนายน ค.ศ.1941 มุสโสลินีประกาศสงครามกับสหภาพโซเวียต
ปี ค.ศ. 1943
หลังความปราชัยของอักษะในแอฟริกาเหนือ นานาอุปสรรคที่แนวรบด้สนตะวันออกและการยกพลขึ้นบกของอังกฤษอเมริกันที่เกาะสีศีลีหรือซิซิลี เพื่อนร่วมงานคนสำคัญของมุสโสลินี
(รวมทั้งเคาน์ท กาเลอัซโซ ชีอาโน
รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและบุตรเขยของเขา)
หันมาต่อต้านเขาในที่ประชุมสภาใหญ่ฟาสซิสต์
เมื่อ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1943
พระเจ้าวิตตอรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 ทรงมีรับสั่งให้มุสโสลีนีเข้าเฝ้าและปลดอำนาจอนล้นหลามของผู้เผด็จของเขา หลังจากออกจากพระราชวัง มุสโสลินีถูกจับกุมโดยทันที
เขาถูกส่งตัวไปยังกราน สัสโสที่พักตากอากาศบนภูเขาในภาคกลางของอิตาลี อันเป็นการโดดเดี่ยวและตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
เขาถูกส่งตัวไปยังกราน สัสโสที่พักตากอากาศบนภูเขาในภาคกลางของอิตาลี อันเป็นการโดดเดี่ยวและตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
ตำแหน่งของมุสโสลินีถูกแทนที่โดยจอมพลแห่งอิตาลี ปีเอโตรบาโดกลีโอ (28 กันยายน 1871 – 1
พฤศจิกายน 1956 ; ทหารและนักการเมืองคนสำคัญ)
ผู้ประกาศตนอย่างเฉียบพลันด้วยสุนทรพจน์ที่มีชท่อเสียง
“สงครามดำเนินต่อไปโดยเคียงข้างพันธมิตรเยอรมนีของเรา”
แต่ทว่าเป็นการดำเนินการเจรจาเพื่อการยอมจำนนแทน โดย 45 วันถัดมา (8 กันยายน) บาโดกลีโอได้ลงนามเพื่อการสงบศึกกับกองทัพฝ่ายพันธมิตร บาโดกลีโอ เอมานูเอลที่ 3
กลัวการแก้แค้นของเยอนรมัน
จึงพากันหลบหนีออกจากกรุงโรม
ปล่อยให้กองทัพอิตาเลียนทั้งหมดตกอยู่ในภาวะไร้ระเบียบ หลายหน่วยถูกตีแตกกระจัดการจายอย่างง่ายดาย
บางหน่วยก็หนีไปตั้งอยู่ในเขตควบคุมของพันธมิตร มีอยู่เพียงไม่กี่หน่วยที่ตัดสินใจเริ่มทำสงครามกู้ชาติต่อต้านนาซี และอีกไม่กี่หน่วยไม่ยอมเปลี่ยนข้าง
และยังคงเป็นพันธมิตรที่เหนียวมั่นกับกองทัพเยอรมัน
ไม่กี่วันต่อมา
มีการช่วยชีวิตซึ่งวางแผนลักพาตัวโดยพลเอกคูร์ท ฌทูเดินท์(12 พฤษภาคม 1890 - 1 กรกฎาคม
1978
แม่ทัพแห่งกองทัพอากาศเยอรมนีนาซี
ผู้นำการต่อสู้ทางภาคอากาศที่แนวรบด้านตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่ 1
และผู้บัญชาการทหารพลร่มระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ) และปฏิบัติการโดยออทโท สคอร์เซนี
มุสโสลินีจึงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐสังคมแห่งอิตาลี รัฐบาลฟาสซิสต์ในตอนเหนือของอิตาลี
ในห้วงนี้เข้าพำนักที่การ์ญาโน
แต่ก็ตกอยู่ในสภาพของหุ่นเชิดภายใต้การคุ้มครองของบรรดาผู้ปลอดปล่อยชาติของเขาเท่านั้น ใน “สาธารณรัฐสาเลาะ” นี้
มุสโสลินีหวนกลับไปสู่ความคิดดั่งเดิมของเขาเกี่ยวกับสังคมนิยมและการรวมหมู่
เขายังประหารชีวิตผู้นำฟาสซิสต์ที่ทิ้งเขาไป
รวมทั้งบุตรเขยของเขาเอง
ภริยาลับชาวยิวของมุสโสลินี
มาร์เกรีตา สาร์ฟัตตี (
Margher Sarfatti ) ลูกสาวของทนายความชาวยิวที่มั่งคั่ง นางถูกยึดมั่นในความคิดสังคมนิยม และหนีจากบ้านบิดามารดาตั้งแต่อายุ 18 ปี โดยการแต่งงานกับเชสาเร สาร์ฟัตตี
ทนายความจากปาดูอา ซึ่งอายุแก่กว่านางมาก ปี 1902
ทั้งคู่ได้ย้ายไปอยู่ที่มิแลนหรือมีลาโน ปี 1911 สาร์ฟัตตีเริ่มมีความสัมพันธ์แนวชู้สาวกับมุสโสลินี
จากสภานะของปัญญาชนที่มีการศึกษาสูงและมีความคิดอันปฏิวัติอันชัดเจน
นางมีความสำคัญอันโดดเด่นต่อความรุ่งเรืองของฟาสซิสต์อิตาลี โดยเป็นผู้สนับสนุนและเพิ่มความคิดและนโยบายของมุสโสลินีหลายประการ ปี 1938 สาร์ฟัตตีทิ้งอิตาลีฟาสซิสต์ไปอยู่อาร์เจนตินาและกลับมาอีกครั้งในปี
1947 หลังจากอิตาลีพ่ายสงคราม
ความจริงแล้วมุสโสลินีและสาร์ฟัตตีต่างก็เป็นคนถือคติเชื้อชาติต่อชาวแอฟริกันและชาวเอเชีย
ดังนั้นคนทั้งสองจึงไม่มีอะไรติดข้องอยู่ภายในฟาสซิสต์ของอิตาลี โดยเฉพาะการต่อต้านชาวยิว อย่างไรก็ตาม
เมื่ออิตาลีฟาสซิสต์พิชิตแอเบอสีเนีย(เอธิโอเปีย) ก็ถูกสันนิบาตชาติ ตำหนิอย่างรุนแรง แต่มุสโสลินีได้รับการบรรเทาและการสนับสนุนจากอาดอล์ฟ
ฮิทเลอร์และประเทศยุโรปที่ต่อต้านชาวยิว
เพื่อประจบสอพลอต่อฮิทเลอร์
กฎหมายเชื้อชาติทั้งหลายของอิตาลีจึงผ่านอย่างรวดเร็วในปี 1938 สาร์ฟัตตีจึงจำเป็นต้องหย่าร้างห่างเตียงของมุสโสลินีในที่สุด
มตกรรม
บ่ายวันที่ 27 เมษายน
ค.ศ. 1945 ใกล้หมู่บ้านดอนโก
(ทะเลสาบโกมา) ก่อนที่กองทัพพันธมิตรเคลื่อนทัพถึงมีลาโน
ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าสู่กีอาเวนนาเพื่อขึ้นเครื่องบินหนีไปยังสวิตเซอร์แลนด์ มุสโสลีนีกับภริยาลับของเขา กลาเรตตา หรือแคลรา เปทัชชี
ถูกพลพรรคคอมมิวนิสต์อิตาเลียนจับตัวได้หลังจากความพยายามที่ล้มเหลวหลายครั้งในการนำตัวไปยังโกโม พวกเขาจึงถูกนำตัวไปยังเมซเซกรา พวกเขาใช้เวลาคืนสุดท้ายในบ้านของตระกูลเด มารีอา
วันต่อมา
28
เมษายน
มุสโสลินีกับภริยาลับของเขาถูกประหารชีวิตพร้อมกับอีกสิบห้าคน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสาธารณรัฐสังคมอิตาเลียน
วันถัดมา
สาธารณะต่างพบกับร่างของมุสโสลินีกับภริยาลับถูกแขวนด้วยการมัดเท้า
ให้ศีรษะห้อยลงบนที่แขวนเนื้อสัตว์ที่จัตุรัสโลเรโตในเมืองมิแลนหรือมีลาโน พร้อมกับพลพรรคฟาสซิสต์คนอื่นๆ
โดยเฉพาะรัฐมนตรีคนสำคัญในรัฐบาลของเขา
เพื่อแสดงให้ชาวอาณาประชาราษฎร์เห็นว่าจอมเผด็จผู้นี้เสียชีวิตแล้ว
การณ์นี้ยังเป็นทั้งการปราบมิให้บรรดาพลพรรคฟาสซิสต์ต่อสู้อีกต่อไป
และเป็นปฏิบัติการแก้แค้นต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของฝ่ายอักษะที่แขวนคอพลพรรคกู้ชาติจำนวนมากในสถานที่เดียวกันนี้
บรรญานุกรม
เจษฎา ทองรุ่งโรจน์.
มุสโสลินี บิดาแห่งลัทธิฟัสซิสซ์.
กรุงเทพ : มิติชุมชน, 2549
เพ็ญศรี ภูมิถาวร.
ประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยปัจจุบัน.
กรุงเทพ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2551
วีระชัย ดชคมุกดา. สงครามโลกครั้งที่
1 และ 2. กรุงเทพ
: ยิปซี, สนพ,
2555
เบนนิโต
มุสโสลินี. (ออนไลน์) แหล่งที่มา :
http://en.wikipedia.org/wiki/เบนนิโต_มุสโสลินี.
29 กรกฎาคม 2556.
Benito Mussolini. (ออนไลน์) แหล่งที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Benito_Mussolini.
1 สิงหาคม 2556.
29 กรกฎาคม 2556.
Benito Mussolini. (ออนไลน์) แหล่งที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Benito_Mussolini.
1 สิงหาคม 2556.
Casinos with Real Money No Deposit Bonuses 2021
ตอบลบ› casinosites-no-deposit › casinosites-no-deposit Casinos with Real Money No Deposit Bonuses 2021 — Casinosites with Real Money No Deposit Bonuses 강원 랜드 썰 2021 Casino Sites with Real Money No Deposit Bonuses for New Players 2021 — Casinosites with Real Money No Deposit Bonuses for New 포커 카드 Players 2021 — Casinosites with Real Money No Deposit Bonuses for 룰렛 확률 New Players 2021 — Casinos with Real Money No 유흥 싸이트 Deposit Bonuses for New Players 2021 — Casinos with Real Money No Deposit Bonuses for New 승인 전화 없는 토토 꽁 머니 Players